เกิดมาทำไม...?
จากหนังสือ ”หลวงปู่หล้า เขมปัตโตตอบปัญหาธรรมะ” ตอนหนึ่งของการสนทนาธรรม ระหว่างหลวงปู่กับญาติโยม มีโยมคนหนึ่งถามท่านว่า “เกิดมาทำไม...เกิดมาเพื่ออะไร...เกิดมาแล้วมีแต่ทุกข์ ทำไมคนเราจึงอธิษฐานขอเกิดอยู่ร่ำไป”
หลวงปู่ท่านตอบว่า “คำว่าเกิดมาทำไม...ตอบว่าเพราะกรรมทำให้เกิด เกิดมาเพื่ออะไร...ตอบว่าเกิดมาเพื่อสร้างบารมีหนีความหลงของเจ้าตัวที่เคยหลงมา ถามว่าอะไรนำมาให้เกิด...ตอบว่าอวิชชาความโง่ๆ พาให้เกิด อวิชชานั้นแบ่งออกเป็น
1. ไม่รู้ทุกข์
2. ไม่รู้ทุกขสมุทัย คือเหตุให้เกิดทุกข์
3. ไม่รู้ทุกขนิโรธ คือความดับแห่งทุกข์
4. ไม่รู้ทางดำเนินให้ถึงความดับทุกข์เพิ่มทุกข์เข้าอีก
5. ไม่รู้จักอดีต
6. ไม่รู้จักอนาคต
7. ไม่รู้ทั้งอดีตทั้งอนาคตโยงใส่กัน
8. ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท คือลูกโซ่ที่เกี่ยวคล้องเป็นสายเป็นบ่วงกลมคล้องคอจิตใจเราอยู่ อวิชชา8 ก็ว่า
คำว่า “อวิชชา” แปลว่าไม่ใช่วิชชา ถ้าแปลให้เข้าใจง่ายคือความโง่ความหลงของเรา แต่ละท่านๆนั่นเอง ถ้าจะอธิบายในเรื่องนี้ให้พิสดารก็ยาวเหยียดมาก จะอย่างไรก็ตาม เราไม่ต้องอธิบายยาวเหยียด ทำไมคนเราจึงอธิษฐานขอเกิดกันอยู่ร่ำไป....ตอบว่าเพราะกรรมบันดาล ยังไม่เห็นทุกข์ในโลกพอ เพราะมีความหวังในโลกอยู่ เพราะเข้าใจว่ามันพอใช้สอยอยู่ ถ้าจะให้ตอบให้ถึงที่แล้ว ก็คือบารมียังอ่อนอยู่นั่นเอง
เมื่อผู้อธิษฐานขอเกิด....ก็แปลว่ามีความพอใจยินดีในการเกิด ส่วนเป้าหมายในการเกิดแตกต่างกันออกไปตามเจตนา ตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละคน ข้อนี้ก็จริงอยู่ แต่บางท่านอยากมาเกิดอีก เพื่อมาสร้างบารมีเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกฯ หรือพระอรหันต์ขีณาสพ สาวกหรือสาวิกาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป จำพวกที่ต้องการแบบนี้...คือต้องการไปทางโลกุตรกุศล
จำพวกหนึ่งนั้น....ต้องการมาเกิดเป็นเศรษฐีกฎุมพี ปรารถนาในโลกีย์ยุ่งเหยิง บางจำพวกต้องการปรารถนาเกิดอีก เพื่อต้องการเสวยกามารมณ์ล้วนๆ บางจำพวกต้องการมาสนองเวร สนองภัยกับผู้อื่นที่อาฆาตจองเวรผูกใจเจ็บไว้ สรุปความปรารถนาทั้งหลาย มันเป็นไปตามผลกรรมและผลของกรรม ถ้าหากว่าจิตยอมรับด้วยจิตเองว่า...การเกิดเป็นทุกข์...ไม่ปรารถนาที่จะเกิดอีก พูดมาถึงตรงนี้ก็ตีความหมายว่า เป็นเพียงความคิดมันไม่อยากเกิด เพราะมันทุกข์ก็อดจะทอดถอนใจไม่ได้ว่า....เป็นความคิดที่วิ่งวนตัวตัณหาอีกแล้วกระมัง?...ตอบข้อนี้ว่ามันไม่เป็นปัญหา และไม่กลายเป็นทุกข์ซ้อนทุกข์โดยไม่รู้ตัว พระบรมศาสดาและพระอริยสาวกผู้ที่สร้างบารมีแก่กล้ามาแล้ว ก็ต้องยืนยันอย่างนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว การประพฤติพรหมจรรย์ก็ไม่มีความหมายเป็นคิวสุดท้าย |